ควรจะทำการอบรมโฟล์คลิฟท์อย่างต่อเนื่องตามการพัฒนารุ่นของรถยก

การอบรมโฟล์คลิฟท์ ควรจัดให้มีการอบรมอย่างต่อเนื่อง

โลกทุกวันนี้เป็นโลกแห่งการค้าและการทำธุรกิจไม่ว่าจะทั้งในประเทศและนอกประเทศต่างก็มีการขนส่งสินค้ากันไปมาอยู่เนืองๆ จนเรียกได้ว่าแทบจะทุกวันแบบไม่มีว่างเว้นเลย แล้วเพราะมีการขนส่งสินค้านี่เอง มันจึงจำเป็นจะต้องมีการทำงานเกี่ยวกับการยกหรือขนถ่ายสินค้าเหล่านั้น ซึ่งนอกเหนือไปจากกำลังคนแล้วก็ยังต้องใช้กำลังของเครื่องทุ่นแรงช่วยด้วยรถยกที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายว่า โฟล์คลิฟท์ (Forklift) จึงได้เข้ามามีบทบาทที่สำคัญ

รถโฟล์คลิฟท์ (Forklift) ถือเป็นเครื่องจักรชนิดหนึ่งที่อำนวยความสะดวกในด้านการยกและเคลื่อนย้ายวัสดุสิ่งของแทนการใช้กำลังคนเพียวๆ ส่วนมากจะใช้ในงานอุตสาหกรรมต่างๆ หรือใช้เพื่อการเคลื่อนย้ายวัตถุในระยะทางสั้นๆ การใช้งานจึงต้องค่อนข้างมีความชำนาญและมีความรับผิดชอบสูง เนื่องจากพาหนะเป็นแบบเฉพาะและข้าวของก็เป็นสินค้ามีราคาค่างวด ฉะนั้นผู้ที่จะใช้งานรถโฟล์คลิฟท์จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการฝึกอบรม

ในการอบรมหลักสูตรรถยกหรือโฟล์คลิฟท์จะเน้นเรื่องขั้นตอนกฏระเบียบการใช้งานและความปลอดภัย เพราะการใช้งานพาหนะหรือเครื่องจักรชนิดนี้หากขาดความระมัดระวังก็จักเกิดอันตรายได้ ดังนั้นกฏระเบียบข้อปฏิบัติต่างๆ จะช่วยลดความประมาทรวมไปถึงลดความคึกคะนองของผู้ใช้งานพร้อมทั้งปลุกจิตสำนึกด้านความปลอดภัย เมื่อมีกฏข้อบังคับเข้าควบคุม อุบัติเหตุต่างๆ ก็ยากที่จะเกิดได้ ซึ่งเป็นการดีต่อทุกๆ อย่างทั้งหน่วยงาน วัสดุสิ่งของ ผู้ใช้งานและผู้อื่น นอกจากการอบรมจะช่วยในเรื่องต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว ถ้าได้ทำการอบรมอย่างต่อเนื่องก็ยังจะข่วยเพิ่มความรู้ความชำนาญที่มีอยู่ให้มีมากและแน่นยิ่งขึ้นอีกด้วย 

ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ที่เคยใช้งานหรือจะต้องใช้งานด้วยรถโฟล์คลิฟท์ยังจะได้รับความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับชนิดของรถโฟล์คลิฟท์ด้วยว่ามีกี่ประเภทอะไรบ้าง แล้วแต่ละประเภทใช้งานอย่างไร เหมาะกับการใช้งานอะไรและใช้พลังงานชนิดไหนในการขับเคลื่อนรวมไปถึงรถยกหรือรถโฟล์คลิฟท์แต่ละชนิดมีการขับขี่ยากง่ายอย่างไรและจะต้องเทคนิคอะไรบ้าง การขับขี่ในแต่ละสถานที่จะต้องทำอย่างไร การจอดจะทำแบบไหน สิ่งเหล่านี้จะทำให้ผู้เข้าอบรมเกิดความรู้กว้างไกล ซึ่งมันถือเป็นสิ่งสำคัญในยุคที่มีการแข่งขันสูงในวงการแรงงานของประเทศและของโลกเลยเชียว

ยกตัวอย่างชนิดของรถโฟล์คลิฟท์ที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งก็คือ ‘รถโฟล์คลิฟท์ไฟฟ้า’ เป็นการใช้พลังงานจากแบตเตอรีโดยการชาร์จไฟถือเป็นพลังงานสะอาด ขณะทำงานไม่มีควันไม่มีเขม่าและเกิดเสียงดังค่อนข้างน้อย ด้านความคุ้มค่าก็ดีสำหรับในระยะยาว เพราะการใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นต้นทุนที่ราคาไม่สูง แล้วตัวรถก็ไม่มีเครื่องยนต์ที่ต้องใช้ความร้อนสูงจึงทำให้ระบบการสึกหรอค่อนข้างจะต่ำแถมยังไม่มีระบบเกียร์ที่จะต้องมีค่าใช้จ่ายจากการถ่ายน้ำมันเครื่องน้ำมันเกียร์ด้วย เหล่านี้ทำให้ค่าใช้จ่ายในการดูแลต่ำกว่าชนิดอื่น ส่วนเรื่องรูปร่างและการขับขี่ของรถโฟร์คลิฟท์ไฟฟ้าก็ไม่ได้แตกต่างจากทั่วไปสามารถใช้ทักษะที่ได้เรียนรู้มาใช้งานได้เลย 

เหตุที่ยกตัวอย่างรถโฟล์คลิฟท์ไฟฟ้าขึ้นมาก็เพื่อจะชี้ให้เห็นถึงพัฒนาการของรถโฟล์คลิฟท์นั้นไม่เคยหยุดนิ่ง ซึ่งก็เหมือนเครื่องมือเครื่องจักรและเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ที่ผู้ผลิตจะทำการพัฒนาต่อเนื่องเรื่อยๆ เช่นนั้น ในเมื่ออุปกรณ์เครื่องใช้เคลื่อนไหวการพัฒนาอย่างไม่มีสิ้นสุด ผู้ที่ใช้งานหรือคาดว่าจะต้องใช้งานก็พึงควรจะทำการอบรม เพื่อให้มีความรู้ใหม่ๆ เสมอๆ เช่นกัน 

หากเราหยุดการอบรม มันก็เท่ากับเราหยุดการพัฒนา ซึ่งจะทำให้เราล่าช้าไม่ทันเกมชาวบ้านแถมยังไม่รู้เท่าทันเจ้าเครื่องจักรที่เราจะต้องเป็นผู้ควบคุมมัน แล้วเรื่องอะไรเราจะยอมให้สิ่งของไร้ชีวิตก้าวกระโดดไปเรื่อยๆ แบบข้ามหน้าข้ามตาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดล่ะ เราต้องจับได้ไล่ทันสิ มันถึงจะเข้าท่าเข้าที ถ้าคิดอะไรไม่ออกบอกอะไรไม่ถูกหรือจะขี้เกียจก็ขอให้คิดง่ายๆ ว่า เราคือนาย เราคือผู้กุมบังเหียน เจ้าโฟล์คลิฟท์จะต้องสยมแทบมือแทบเท้า…การอบรมอย่างต่อเนื่องเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เจ้าโฟล์คลิฟท์รุ่นใหม่ๆ กลายเป็นม้าหมดพยศไปในทันที…เชื่อขนมกินได้เลย รับประกัน!!